จากที่ดิน”สุสาน”เก่าย่านเอกมัย ที่มีราคาสูงถึง 40 ล้านบาทในขณะนั้นที่ดินในย่านนั้นกลายเป็นพื้นที่ทำเลทอง เมื่อ”ซานติก้าผับ”แหล่งบันเทิงไฮโซหรู มาเปิดบนถนนเอกมัย ที่ถูกตกแต่งด้วย”โลง” เพียงชั่วข้ามคืนของวันแรกที่เริ่มต้นเข้าสู่ปีใหม่เมื่อปี 2552 กลับกลายเป็นสุสานของเหยื่อเพลิงนรกไปในพลิบตา
ตามความเชื่อของชาวบ้านในละแวกนั้นบอกเล่าถึงเรื่องราวอาถรรพณ์ที่เกิดขึ้นว่า “สุสานซานติก้าผับ” เหมือนมีเหตุบอกรางร้ายมาหลายครั้งจนกลายเป็นโศกโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ตามคำล่ำลือว่ากันว่าที่ดินในบริเวณนี้เคยเป็น กุโบร์เก่า ฝังศพชาวมุสลิม มาก่อนนั้น แต่ไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้ที่ชินนแสเคยออกมาพูด

ด้านสุธี ผลทวี ทายาทดั้งเดิมของที่ดินแห่งนี้ยืนยันว่า ถึงแม้ที่ดินแถวนี้เป็นชุมชนมุสลิมมากก่อน แต่ที่ดินทั้งหมดนี้เป็นที่มีโฉนด ไม่ใช่ที่สาธารณะ จึงไม่มีทางเป็นกุโบร์เก่ามาก่อนได้ถึงแม้จะไม่ใช่ที่กุโบร์ที่ดินผืนนี้ มีการเล่าขานถึงความเฮี้ยน

เมื่อ40 ปีก่อนแม่ทัพเรือที่เข้ามาอยู่ถูกภรรยาฆ่าตายภายในบ้าน ชาวบ้านที่มาร่วมงานเห็นเงาคนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านร้างเคยทำพิธีทางศาสนามาแล้วหลายครั้งแต่ไม่เกิดผล จนถูกทิ้งปล่อยว่างมานานก่อนจะมาเปิดเป็นสถานบันเทิง “ซานติก้าผับ”
“ที่ตรงนี้เป็นของคุณยายมาก่อน ซึ่งคุณยายขายต่อให้แม่ทัพเรือ ซึ่งท่านเป็นคนเจ้าชู้ ภรรยาจึงเกิดการหึงหวง ต่อมาแม่ทัพเรือคนนี้ถูกภรรยาฆ่าตายภายในบ้าน หลังจากนั้นชาวบ้านก็มักจะเห็นเงาของคนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านร้าง จนต้องมีการทำพิธีทางศาสนากันมาตลอด แม้กระทั่งซานติก้าก็เหมือนกัน ที่ดินตรงนี้แต่เดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ที่บอกว่าเป็นกุโบร์เก่านั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน ที่ดินเดิมของซานติก้าเป็นของคนญี่ปุ่นมาก่อน แต่เจ้าของคนเดิมตายไป ลูกหลานก็เลยให้ซานติก้าเช่าที่ดินผืนดังกล่าว ซานติก้าก็ยังเชิญไปอ่านบทสวดให้ประจำ โดยส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องผีปีศาจ แต่ก็ไม่ลบหลู่ แม้ทางซานติก้าไม่ได้ทำพิธีพวกเราก็ทำให้อยู่ดี เพราะอยู่ใกล้กัน ต้องช่วยเหลือกัน” ทายาทเจ้าของที่ดินกล่าว

ทั้งนี้นอกจากเรื่องอาถรรพ์แล้วเหมือนมีลางร้ายบอกเหตุกับการตกแต่งภายในของพับแห่งนี้ ที่มีการตกแต่งภายในร้านด้วยไม้กางเขนและทำเลียบแบบโลงศพ แถมป้ายประชาสัมพันธ์งานกู๊ดบาย และเคานท์ดาวน์ ที่ทางผับออกแบบให้ดีเจมีน้ำตาเป็นสายเลือดและนักร้องมีคราบน้ำตาเป็นสีดำ
“เห็นภาพที่ออกมาเห็นแล้วก็ตกใจ กลัวว่าจะเป็นการบ่งบอกถึงลางร้าย แต่ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นขนาดนี้” สุธีกล่าวด้วยอาการสลด
เหตุการณ์ครั้งนี้ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุและความประมาท มากกว่าจะเป็นเพราะเรื่องราวความอาถรรพณ์ แต่ถึงจะไม่เชื่อ ชาวบ้านละแวกนี้ก็ไม่เคยหลบหลู่
“เราก็อยู่แบบถ้อยที ถ้อยอาศัยกัน เขาก็ปฏิบัติกับเราดี เด็กในละแวกนี้ก็มีงานทำ ถึงเวลาที่ร้านของเขาครบรอบก็มีเลี้ยงละแบร์ตามศาสนา ช่วงงานวันเด็กก็มีแจกจักรยานทำอะไรให้ ช่วยเหลือกัน ที่จริงที่ดินตรงนี้เป็นของ ผบ.ทร.เก่า สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในความรู้สึกผมปล่อยวางนะ มีฝรั่งคนหนึ่งมาจากภูเก็ต ผมก็ถามว่าญาติเสียหรือเปล่า เขาก็บอกว่ามาสวดมนต์ให้ผู้เสียชีวิตชาวต่างชาติ เจ้าของเดิมตั้งใจทำเป็นคอนโด แต่ไม่ได้ทำ เพราะเจอพิษทางเศรษฐกิจ จริงๆ แล้วที่ดินตรงนี้ไม่ใช่ของซานติก้านะ แต่ทางซานติก้าเขาเช่าอยู่ ไม่ใช่ที่ของเขา” ฉลอม เพ็ชรหิน ชาวบ้านในพื้นที่ซานติก้าผับ ย้อนเรื่องราวในอดีต
.png)
” เขาว่าในร้านที่เพิ่งตกแต่งปรับโฉมใหม่ไม่นานนี้ ก็มีรูปเหมือนโลงศพ แล้วก็มีไม้กางเขนขนาดใหญ่อยู่อันหนึ่งข้างใน มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัย เพราะเจ้าของเองยังนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้ แล้วคนก็ไม่รู้ว่าทางด้านหลังก็มีประตูทางออกอีกทาง ก็เลยมากรูกันอยู่ที่ประตูทางเข้าด้านหน้าหมดเลย” ภาณุภัทธกล่าวในตอนท้าย
ถึงแม้ว่าเรื่องราวน่าสลดที่เกิดขึ้น ณ “ซานติก้าผับ” ในคืนนั้นจะเป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นเรื่องอาถรรพณ์ก็ตาม แต่ความจริงที่เกิดขึ้นคือ สังเวยไป 61 และเจ็บกว่า 2 ร้อยคนกับเหตุการณ์ครั้งนี้